วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
ปลากัดลูกหม้อ
ปลากัดหม้อ
เป็นพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันมาก เพราะนอกจากจะกัดเก่ง ทรหดอดทนแล้ว ยังมีสีสัน
ตามลำตัวสวยงาม เช่น สีแดงเข้ม สีน้ำเงินเข้ม สีน้ำตาลเข้ม เป็นต้น ปลากัด
หม้อจะมีลักษณะตัวโตกว่าปลากัดป่าหรือปลากัดลูกทุ่ง แต่ครีบหางครีบหลังจะ
สั้นกว่า หางสั้นเป็นรูปพัดไม่ค่อยตื่นตกใจง่าย ส่วนตัวเมียครีบหางครีบหลังและ
ตะเกียบสั้น สีซีดกว่าตัวผู้ ปลากัดหม้อเกิดจากการคัดสายพันธุ์ลูกทุ่งลูกป่า จับ
มาเลี้ยงมาฝึกให้ต่อสู้และอดทน ผสมพันธุ์กันจนได้สายพันธุ์ใหม่กันขึ้นมา ว่ากันว่าต้องใช้ระยะเวลาหลายชั่วอายุคน
ปลากัดลูกทุ่งหรือลูกป่า
ปลากัดลูกทุ่งหรือลูกป่า
เป็นปลาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อาศัยอยู่ตาม หนอง คลอง บึงทั่วไป
ขนาดลำตัวบอบบาง ยาวประมาณ 2 ซม. ตัวผู้มีครีบท้องหรือครีบตะเกียบยาว
ครีบก้น ครีบหลัังยาว หากกลมเป็นรูปใบโพธิ์ สีลำตัวเป็นสีน้ำตาลขุ่นหรือเทา
แกมเขียว ส่วนตัวเมียเล็กกว่าตัวผู้ มีตจะเกียบสั้น ครีบสั้น หางเล็ก สีตามตัวซีด
และมีเส้นดำ 2 เส้น พาดขนานกลางลำตัวตั้งแต่คอจนถึงโคนหางตรงท้อง
ระหว่างตะเกียบมีจุดไข่สีขาวที่เรียกว่า ไข่นำ 1 เม็ด ปลาชนิดนี้มีนิสัยว่องไว แต่
กัดไม่ทนสู้ลูกหม้อไม่ได้
ปลากัดจีน
ปลากัดจีน
ลักษณะทั่วไป เป็นปลาสวยงามขนาดเล็กซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ปลาชนิดนี้มีเรื่องราวความเป็นมาอันยาวนานนับเป็นศตวรรษ เดิมทีคนไทยเลี้ยงปลากัดเพื่อนำมากัดพนันเอาทรัพย์สินเงินทองกัน จัดเป็นกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมมานานนับตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังมีบุคคลกลุ่มหนึ่งได้หันไปเพาะพันธุ์ปลากัดที่มีครีบยาวและสีสันสวยงาม เพื่อจำหน่ายเป็นปลาสวยงาม ซึ่งรู้จักกันในนามปลากัดจีน ปลากัดที่ผสมคัดเลือกพันธุ์ขึ้นใหม่ ได้รับความนิยมแพร่หลายในต่างประเทศ ถิ่นอาศัย ในธรรมชาติปลากัดอาศัยอยู่ตามบึง และหนองน้ำที่มีพันธุ์ไม้ขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่นพบชุกชมในภาคกลาง ส่วนภาคอื่นๆ ก็พบทั่วไป อาหาร กินตัวอ่อนแมลง ลูกน้ำ ไรน้ำ และสัตว์ขนาดเล็ก ขนาด ความยาวไม่เกิน ๖ นิ้ว ประโยชน์ นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม นับเป็นสินค้าออกที่ขึ้นหน้าขึ้นตาชนิดหนึ่ง
เกาะสีชัง

หาดถ้ำเขาพัง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของเกาะ เป็นชายหาดกว้าง สะอาดและสวยงาม มีทรายละเอียด น้ำใสสะอาดเหมาะแก่การเล่นน้ำ การเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะ เนื่องจากสถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะสีชังอยู่ห่างกันพอสมควร จะสะดวกมากหากจะเช่ารถสามล้อเครื่องจากท่าเทียบเรือไปชมสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็เที่ยวได้ทั่วเกาะ ค่าเช่ารถสามล้อเครื่อง คิดเป็นรอบ ๆ ละประมาณ 150-250 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและระยะทาง
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายที่มีพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่สลับกับเนินเตี้ย ๆ ยอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,350 เมตร เป็นแหล่งกำเนิดของลำน้ำพอง ซึ่งหล่อเลี้ยงเขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนหนองหวาย ในจังหวัดขอนแก่น ยอดภูกระดึงประกอบไปด้วยป่าสนสลับป่าก่อและทุ่งหญ้า มีพันธุ์ไม้ดอก ไม้ใบ ขึ้นอยู่ทั่วไปตามบริเวณน้ำตก ลำธาร และลานหิน ซึ่งธรรมชาติได้สร้างสรรค์ไว้อย่างสวยงามยิ่ง
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพอากาศบนภูกระดึงเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15 องศาเซลเซียส ในฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นมากจนบางครั้งอุณหภูมิลดต่ำลงถึง 0 องศาเซลเซียส ช่วงฤดูฝนอากาศแปรปรวน บ่อยครั้งมีหมอกและเมฆฝนลอยต่ำ ฝนตกชุกทำให้เกิดภัยธรรมชาติบางประการ เช่น ดินถล่มตามลาดหน้าผาสูงชัน และน้ำป่าไหลรุนแรงตามลำธารเชิงเขา จึงกำหนดให้ปิด-เปิดการท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้สภาพป่ามีการพักฟื้น หลังจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมากในแต่ละปี ดังนี้
ปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 กันยายน ของทุกปี
เปิดฤดูการท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 พฤษภาคม ของทุกปี
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมีหลายชนิด เช่น ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบเขา และป่าสนเขา มีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ได้แก่ เต็ง รัง พลวง แดง มะค่า ยมหอม มะเกลือ ตะแบก สมอ รกฟ้า พญาไม้ สนสามพันปี จำปีป่า ทะโล้ เมเปิ้ล สนสองใบ และสนสามใบ ก่อชนิดต่าง ๆ ใน ทุ่งหญ้ามีพันธุ์ไม้ดอกที่สวยงาม ออกดอกบานสะพรั่งสลับกันไปตามฤดูกาล เช่น กุหลาบป่า เทียนน้ำ มณเฑียนทอง แววมยุรา กระดุมเงิน เทียมภู ส้มแปะ เง่าน้ำทิพย์ ดาวเรืองภู หยาดน้ำค้าง และกล้วยไม้ ซึ่งบางชนิดชอบขึ้นตามลานหิน ได้แก่ ม้าวิ่ง เอื้องคำหิน ส่วนไม้พื้นล่างมีเฟิร์น มอส โดยเฉพาะ ข้าวตอกฤาษี ซึ่งเป็นมอสขนาดใหญ่สวยงามที่สุดและมีอยู่เป็นจำนวนมาก ภูกระดึงได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุมเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้าและลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าภูกระดึงมีหลายชนิด เช่น ช้าง เสือโคร่ง หมีควาย เลียงผา เก้ง กวาง หมูป่า ชะนี บ่าง พญากระรอก หมาไน ส่วนนกชนิดต่าง ๆ ที่พบเห็นได้แก่ นกกางเขนดง นกจาบกินอกลาย นกกระทาทุ่ง นกพญาไฟใหญ่ นกขมิ้นดง และมีเต่าชนิดหนึ่งซึ่งหาได้ยาก คือ เต่าปูลู หรือ “เต่าหาง” เป็นเต่าที่หางยาว อาศัยอยู่ตามลำธารในป่าเขาระดับสูงของประเทศไทย กัมพูชา และ ลาว
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีพื้นที่ 2,168 ตารางกิโลเมตรหรือ 1,355,396.96 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ปราจีนบุรีนครราชสีมา นครนายก และสระบุรี เป็นป่าผืนใหญ่ประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อนหลายลูก เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น แม่น้ำปราจีน แม่น้ำนครนายก แม่น้ำลำตะคอง แม่น้ำลำพระเพลิง มีความหลากหลายของพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ป่าเป็นอย่าง มาก มีธรรมชาติที่สวยงามประกอบด้วย ป่าไม้หลายชนิด ทุ่งหญ้า มีน้ำตกประมาณ 30 แห่ง เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีการพัฒนา สิ่งอำนวยความสะดวก เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์ที่สุด ประกอบด้วยที่พักแรม ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สาธารณูปโภค เพียบพร้อม จนได้รับสมญานามว่าเป็น “อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน” และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นอุทยาน แห่งชาติที่สำคัญของโลก
ลักษณะทั่วไปของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมีระดับความสูงแตกต่างกันตั้งแต่ระดับความสูงใกล้ ระดับน้ำทะเลตามแนวเขตอุทยานด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้จนถึงระดับความสูง 1,351เมตร จากระดับน้ำทะเล ในบริเวณตอนกลาง ของพื้นที่ ทางด้านทิศตะวันออก ภูมิประเทศมีลักษณะเป็นที่ลาดต่ำ ส่วนทางทิศเหนือความลาดชันน้อยจนถึงปานกลาง ทิศทางความ ลาดชันส่วนใหญ่มุ่งสู่ถนนมิตรภาพ ในขณะที่ทางทิศใต้และทิศตะวันตกมีลักษณะเป็นภูเขาสูงชันโดดเด่นขึ้นมาจากที่ราบ ซึ่งใช้ ประโยชน์เพื่อการเกษตรนอกเขตอุทยานฯ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีลักษณะคล้ายเป็นกำแพงภูเขาตามแนวเขตอุทยานฯ จึง เรียกว่า เขากำแพง และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก โดยมียอดเขาที่สำคัญอยู่ 6 ยอดด้วยกัน คือ เขาแหลม (1,326 เมตร)บริเวณทิศเหนือ เขาร่ม (1,351 เมตร) และเขาเขียว (1,292 เมตร) บริเวณตอนกลางเขากำแพง (875 เมตร) บริเวณทิศตะวันออกตะวันออกเฉียงเหนือ และเขาสามยอด (1,142 เมตร) กับเขาฟ้าผ่า (1,078 เมตร) บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยานฯ
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อ พ.ศ.2515 ประกาศเป็นอุทยานฯ เป็นลำดับที่ 6 ของประเทศไทย มีพื้นที่ 482.4 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ในเขตอำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่มอำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ดอยอินทนนท์แต่เดิมดอยนี้มีชื่อว่า "ดอยหลวง" หรือ "ดอยอ่างกา" ดอยหลวง มาจากขนาดของดอยที่ใหญ่มาก ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "ดอยหลวง" (หลวง: เป็นภาษาเหนือ แปลว่า ใหญ่) ดอยอ่างกา มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากยอดดอยไปทางทิศตะวันตกประมาณ 300 เมตร มีหนองน้ำแห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่าง ฝูงกาจำนวนมากมายมักพากันไปเล่นน้ำที่หนองน้ำแห่งนี้ จึงพากันเรียกว่า "อ่างกา" และภูเขาขนาดใหญ่แห่งนั้นก็เลยเรียกกันว่า "ดอยอ่างกา" แต่ก็มีบางกระแสกล่าวว่า คำว่า "อ่างกา" นั้น
แท้จริงแล้วมาจากภาษาปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) แปลว่า "ใหญ่" เพราะฉะนั้นคำว่า "ดอยอ่างกา" จึงแปลว่าดอยที่มีความใหญ่นั่นเอง ดอยอินทนนท์ อดีตกาลก่อนป่าไม้ทางภาคเหนืออยู่ในความควบคุมของเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ สมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (องค์สุดท้าย) พระองค์ให้ความสำคัญกับป่าไม้อย่างมาก โดยเฉพาะป่าในบริเวณดอยหลวง ทรงรับสั่งว่า หากสิ้นพระชนม์ลงให้นำอัฐิบางส่วนขึ้นไปสร้างสถูปบรรจุไว้บนดอย ดอยนี้จึงมีนามเรียกขานว่า "ดอยอินทนนท์" แต่มีข้อมูลบางกระแสกล่าวว่า ที่ดอยหลวงเรียกว่า ดอยอินทนนท์ นั้น เป็นเพราะเนื่องจากว่าเป็นการให้เกียรติ เจ้าผู้ครองนคร จึงตั้งชื่อจากคำว่า "ดอยหลวง" ซึ่งเป็นชื่อที่มีความซ้ำกับดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว แต่ภายหลังมีชาวเยอรมัน มาทำการสำรวจและวัด ซึ่งปรากฎผลว่า ดอยหลวง หรือดอยอ่างกา ที่อำเภอแม่แจ่มมีความสูงกว่า ดอยหลวง ของอำเภอเชียงดาว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน และเรียกดอยแห่งนี้ว่า "ดอยอินทนนท์" อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เดิมเป็นส่วนหนึ่งของ "ป่าสงวนแห่งชาติดอยอินทนนท์" ต่อมาได้ถูกสำรวจและจัดตั้งเป็นหนึ่งในสิบสี่ ป่าที่ทางรัฐบาลให้ดำเนินการเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งครั้งแรกกรมป่าไม้เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ให้มีพื้นที่ 1,000 ตร.กม. หรือประมาณ 625,000 ไร่ แต่เนื่องจากพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ อาศัยอยู่ก่อนหลายชุมชน จึงทำการสำรวจใหม่ และกันพื้นที่ที่ราษฎร อยู่มาก่อน และคาดว่าจะมีปัญหาในอนาคตออก จึงเหลือพื้นที่ที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ 270 ตร.กม. หรือประมาณ 168,750 ไร่ ประกาศลงวันที่ 2 ตุลาคม 2515 และในวันที่ 13 มิถุนายน 2521 รัฐบาลประกาศพื้นที่เพิ่มอีกเป็น 482.4 ตร.กม. อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และกิ่งอำเภอดอยหล่อ มีความสูงจากระดับน้ำทะลปานกลาง 400-2,565.3341 เมตร เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สำหรับวัตถุประสงค์ในการกำหนดที่ดินให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 หมวด 1 มาตรา 6 ดังนี้ "เมื่อรัฐบาลเห็นสมควรกำหนดบริเวณที่ดินแห่งใดมีสภาพธรรมชาติเป็นที่น่าสนใจ ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมเพื่อสงวนไว้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน ก็ให้มีอำนาจกระทำโดยประกาศพระราชกฤษฎีกาด้วยบริเวณที่กำหนดนี้เรียกว่า อุทยานแห่งชาติ"
อุทยานแห่งชาติภูเรือ
อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย อาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวรูปพรรณสันฐานของภูเรือมีรูปร่างลักษณะเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูงเป็นภูผาสีสันสะดุดตาหินบางก้อนมีลักษณะเหมือนถูกปั้นแต่งไว้ชาวบ้านเรียกว่า “กว้านสมอ” โดยรอบ ๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ใกล้เคียงเป็น ฝ้าขาวด้วยละอองน้ำ หมอก ปกคลุมไว้ท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 121 ตารางกิโลเมตร หรือ 75,525 ไร่
ลักษณะภูมิประเทศ
อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีลักษณะภูมิประเทศเป็นทิวเขาสูงสลับซับซ้อนประกอบด้วย เขาหินทรายเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นเป็นหินแกรนิตสลับกันไป ลักษณะเช่นนี้จึงทำให้มีที่ราบสูงสลับกับ ยอดเขาสูงทั่วไป มียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูงถึง 1,365 เมตร จากระดับ น้ำทะเลปานกลาง ยังมียอดเขาที่สำคัญ คือ ยอดเขาภูสัน มีความสูง 1,035 เมตร จากระดับน้ำทะเล ปานกลาง และยอดภูกุ มีความสูง 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ลักษณะเช่นนี้เองจึงเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญก่อให้เกิดลำธารหลายสาย เช่น ห้วยน้ำด่าน ห้วยบง ห้วยเกียงนา ห้วยทรายขาว ห้วยติ้ว และห้วยไผ่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำตกห้วยไผ่ที่สวยงามแห่งหนึ่ง
ลักษณะภูมิอากาศ
ด้วยอุทยานแห่งชาติภูเรืออยู่ที่จังหวัดเลย ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดของประเทศไทย และอยู่บนยอดเขาสูง จึงทำให้มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาว เย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แม่คะนิ้ง” นักท่องเที่ยวจะไปพักผ่อนควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
ภูเรือ มีสภาพป่าหลายชนิดปะปนกันอย่างสวยงาม ทั้งป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดงดิบ ป่าสนเขา โดยเฉพาะยอดภูเรือ ประกอบด้วยป่าสนเขา สลับกับสวนหินธรรมชาติแซมด้วยพุ่มไม้เตี้ย สลับด้วยทุ่งหญ้าเป็นระยะ ไม้พื้นล่างที่พบโดยทั่วไป ได้แก่ กุหลาบป่า มอส เฟิร์น และกล้วยไม้ที่สวยงาม เช่น ม้าวิ่ง สามปอย ไอยเรศ เอื้องคำ เอื้องผึ้ง เอื้องเงิน ซึ่งขึ้นตามต้นไม้และโขดหิน กล้วยไม้เหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่งให้ชมสลับกันไปตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ ป่าภูเรือยังมีสัตว์ป่าที่ชุกชุมพอสมควร ที่พบบ่อย เช่น หมี เก้ง กวาง หมูป่า หมาไน ลิง พญากระรอกดำ ไก่ฟ้าพญาลอ ไก่ป่า และชุกชุมไปด้วยกระต่ายป่า เต่าเดือย เต่าปูลูและนกชนิดต่างๆ ที่สวยงามอีกมากมาย โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะอพยพมาจากประเทศจีนเป็นจำนวนมาก
วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552
วิธีการเพิ่มบทความใหม่ใน blogger

1.จะปรากฏหน้าจอดังรูปข้างต้น ซึ่งหากท่านเคยใช้ โปรแกรม word มาก่อน ก็สามารถนำทักษะนั้นมาเพื่อสร้างข้อมูลต่างๆ ได้ทั้งลูกเล่น, ขนาด, และสีสันของตัวอักษร

2.สำหรับท่านที่ต้องการใส่ภาพประกอบนั้น ให้คลิกที่ปุ่มรูปภาพขนาดเล็ก (ตามศรชี้)

3.จะปรากฏ Pop-up box ขึ้นมา ให้ท่านคลิกที่ Browse เพื่อเรียกไฟล์ภาพที่เก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่ต้องการ (ขนาดของภาพไม่ควรใหญ่เกิน 100K ) ท่านสามารถกำหนดตำแหน่งการวางภาพได้ ทั้ง ซ้าย, กึ่งกลาง, ขวา และขนาดรูปภาพที่ต้องการแสดงได้ว่า ต้องการ (ขนาดเล็ก, ปานกลาง หรือใหญ่) โดยใช้เม้าส์คลิกที่หน้าปุ่มที่ต้องการ

5.ภาพที่ต้องการก็จะปรากฏขึ้นมาให้เลือก

6.ในขั้นตอนนี้ให้ท่านจะเห็นชื่อไฟล์ภาพที่ต้องการมาเก็บไว้ใน Browse เรียบร้อยแล้วให้ท่าน ติ๊กที่ กล่องเล็กๆ หน้าข้อความว่า “ข้าพเจ้ายอมรับข้อกำหนดในการให้บริการ” จากนั้น จึงคลิกที่ ปุ่ม อัพโหลดรูปภาพ

7.ระบบจะทำการอัพโหลดรูปภาพ

8.เมื่อเรียบร้อยแล้วให้ท่านคลิกที่ปุ่ม เสร็จเรียบร้อย เป็นอันเสร็จขั้นตอนในการเพิ่มรูปภาพเข้าไปในเว็บไซต์ของท่าน

9.เมื่อตรวจสอบตำแหน่งภาพ และข้อความต่างๆ ถูกต้องแล้ว ให้ท่าน เลือกที่จะ คลิก “เผยแพร่บทความ” จะปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ และคนที่เข้ามาเว็บไซต์ของท่านจะพบเห็นข้อมูลเหล่านี้ หรือเลือกที่จะ “บันทึกทันที” ในความหมายนี้ ข้อมูลทั้งหมดจะยังไม่ปรากฏให้บุคคลภายนอกเห็น จนกว่าท่านจะกลับมาคลิกที่ “เผยแพร่บทความ”

10.เมื่อท่านคลิก “เผยแพร่บทความ” แล้ว ในหน้าเว็บจะปรากฏจอข้างต้น หากท่านต้องการดูบล็อก ให้คลิกตรงคำว่า “ดูบล็อก” แต่หากต้องการแก้ไขข้อมูล ให้เลือกคลิก “แก้ไขบทความ” หรือต้องการจะเพิ่มข้อมูลอื่นในเว็บไซต์ ก็ให้คลิกคำว่า “สร้างบทความใหม่”

11.หน้าเว็บไซต์ที่จัดทำจะปรากฏขึ้น นอกจากนั้น เว็บนี้ยังสามารถปรับแต่งรูปแบบต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม เช่น เพิ่มลิงค์, เพิ่มวิดีโอ หรือสไลด์รูปแบบต่างๆ ได้อย่างมากมาย ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและลองทดสอบด้วยตนเอง
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2552
การสร้างเว็บไซต์ ด้วย www.Blogger.com

1. เข้าไปที่เว็บไซต์ www.blogger.com แล้วกรอกชื่ออีเมล และรหัสผ่านเดียวกับตอนที่สร้างบัญชีอีเมล ของ Gmail.com จากนั้น คลิก “เข้าสู่ระบบ”

2. พิมพ์ชื่อที่ต้องการแสดงบนหัวเว็บไซต์
3. นำเม้าท์ไป “ติ๊ก” ตรงช่อง ข้าพเจ้ายอมรับข้อตกลงการใช้บริการ แล้วคลิก ปุ่ม “ทำต่อ” ขวามือ

4. ระบบพร้อมที่จะให้ท่านสร้างบล็อกแล้ว

5. กรอกชื่อเว็บบล็อกที่ต้องการ (ควรสื่อถึงความหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนด)
6. กรอกที่อยู่ของบล็อก (เป็นโดเมนเสมือน ที่จะมีคำว่า .blogspot.com ต่อท้าย ดังนั้นจึงไม่ควรยาวเกินไป และควรคลิก “ตรวจสอบความพร้อมการใช้งาน” ว่าชื่อโดเมนเนมนั้นมีผู้จดไปหรือยัง) ชื่อเรียกของบล็อกนี้จะเป็นโดเมนเนมในการพิมพ์เพื่อเรียกเว็บไซต์ให้ปรากฏ ดังนั้นจึงควรเป็นชื่อที่จำง่าย และสะกดผิดยาก เมื่อได้ชื่อที่ต้องการแล้วให้คลิกคำว่า “ทำต่อ”

7. เลือกแม่แบบ (Template) ซึ่งมีรูปแบบให้เลือกมากมาย โดยสามารถเลื่อนสกอร์บาร์ดู
8. เมื่อเลือกได้แบบที่ต้องการ ก็นำเม้าส์ไปติ๊กหน้าวงกลม แล้ว คลิกช่องลูกศร “ทำต่อ” ด้านขวามือล่าง

9. ในขั้นตอนนี้ เว็บของท่านก็จะมี (เวอร์ช่วล) โดเมนเน และรูปแบบ (ดีไซน์) จากแม่แบบที่ท่านเลือกแล้ว ยังคงขาดเพียงแต่ข้อมูลที่ท่านจะให้ปรากฏบนเว็บไซต์ ดังนั้น ให้กดคลิกที่รูปลูกศร “เริ่มต้นการส่งบทความ”
สถานที่ท่องเที่ยว พระธาตุพนม
พระธาตุพนม ประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระธาตุพนมวรวิหาร ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตำบล และอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุ อยู่บนภูกำพร้า หรือดอยกำพร้า ภาษาบาลีว่า กปณบรรพตหรือ กปณคีรี ริมฝั่งแม่น้ำขลนที อันเป็นเขตแขวงนครศรีโคตบูรโบราณ
พระธตุพนมวรมหาวิหาร
http://th.upload.sanook.com/A0/de10197a3194e1bc0fbcfe586d49582d
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

ผลพวงโลกร้อน แบบฝนเปลี่ยน กระทบน้ำ 28 เขื่อน เผชิญท่วม-แล้ง
ผลพวงอากาศเปลี่ยนแปลงส่งผลรูปแบบการตกของฝนเปลี่ยนแปลง พายุพัดตรงเข้าพื้นที่ภาคใต้ ระบบบริหารน้ำปั่นป่วนท่วม-แล้งในฤดูเดียว กระทบปริมาณกักเก็บน้ำ28เขื่อนใหญ่แนะสร้างเขื่อนพวงรอบเขื่อนขนาดใหญ่ ลดความเสี่ยงการจัดการน้ำ
ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) กระ ทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า จากที่มีการคาดการณ์ว่าในปี 2551 ปริมาณน้ำฝนในประเทศไทยจะมีมาก เนื่องจากอิทธิพลจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมานั้น ค่อนข้างชัดเจน ว่าการคาดการณ์ค่อนข้างตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้
โดยสสนก.ได้ใช้ข้อมูลจากความแตกต่างของอุณหภูมิในมหาสมุทรและกระแสลม ทำให้พบสัญญาณผิดปกติมาตั้งช่วงเดือนธ.ค. 2550 เป็นต้นมาพบระดับน้ำทะเล มีอัตราที่สูงผิดกว่าเกณฑ์ปกติประมาณ 10 เซนติเมตร ทั้งทางฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก และฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรอินเดีย
"จากเดิมระดับน้ำทะเลทนสองฝั่งมหาสมุทร ควรจะเป็นในลักษณะที่ต้องวิ่งตามกัน แต่ตอนนี้ทิศทางของระดับน้ำทะเล กลับวิ่งสวนกันไป ปกติมันต้องวิ่งตามกัน กล่าวคือ ฝั่งอันดามันเคลื่อนจากใต้ไปเหนือ และแปซิฟิกจากเหนือลงมาใต้ ต้องเคลื่อนลงมาเส้นศูนย์สูตร จุดนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน่าจะถูกต้องที่สุด" ดร.รอยล กล่าว
แนวพายุผ่านตรงชุมพร-ประจวบ
นอกจากนี้ยังพบข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมาความสูงระดับน้ำทะเล ที่ผิดปกติอยู่แถวบริเวณไต้หวัน และก่อให้เกิดพายุในแถบประเทศไต้หวันและประเทศจีนในช่วง สัปดาห์ก่อน และยังเลื่อนลงใต้มาทางเวียดนามอีกด้วย มันสอดคล้องกับแผนที่อากาศ ร่องความกดดอากาศต่ำ เพราะลักษณะที่แนวพายุพาดผ่าน จะเลื่อนลงใต้ทางฝั่งแปซิฟิกได้ ทางฝั่งอันดามันก็เลื่อนลงมาทางด้านใต้ด้วย เป็นลักษณะตั้งฉากเฉียงกัน แต่ปรากฎว่าไม่ใช่แล้ว ขณะนี้ฝั่งอันดามันกลับไม่เลื่อนลงใต้ และเลื่อนขึ้นเหนือ แต่แนวพายุพาดเป็นแนวเส้นตรง ทำให้แถวชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ของไทยมีฝนหนักในช่วงนี้
"แม้แต่กรมอุตุนิยมก็บอกว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิด และเริ่มส่อเค้าว่าถึงแม้ฝนจะไม่มีมาก แต่พฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดก็เกิด สะท้อนสิ่งที่ผมเคยพูดว่า สถิติใช้ไม่ได้แล้ว ที่ผ่านมาเราเคยใช้ปรากฎการณ์น้ำทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก มาคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน เช่น ถ้าปรากฎการณ์เอลนิโญ่จะมีน้ำน้อย แต่ถ้าเป็นปรากฎการณ์ลานิญ่าจะมีน้ำมากกว่าปกติเท่านั้น คงไม่พอเพียงพอ" ดร.รอยล กล่าว
28 เขื่อนใหญ่ รับมือน้ำท่วม-น้ำแล้ง
ดร.รอยล กล่าวอีกว่า ถ้าดูจากสถิติฝนในปีนี้จากเดิมที่คาดการณ์ว่าฝนจะทิ้งช่วงในปลายเดือนมิ.ย. และก.ค. และทำให้บางจังหวัดต้องประสบปัญหาน้ำขาดแคลนนั้น เป็นการคาดการณ์ที่ผิด เพราะฝนไม่ได้ทิ้งช่วงเลย และตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย มีฝนสูงกว่าปกติ ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยทั้งประเทศสูงกว่าปกติ 37.3 มม . หรือประมาณ 15 % โดยเฉพาะในกทม. มีฝนตกมากกว่าปกติเกือบ 2 เท่า ซึ่งถ้าไม่มีการเตรียมรับมือกันมา เชื่อว่าฝนมากระดับนี้คงมีปัญหาน้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศแล้ว "เขื่อนขนาดใหญ่น่าห่วงและต้องระวังจากอิทธิพลจากฝนในฝั่งอันดามันที่จะมีมากในระยะ 2 เดือนข้างหน้าก็คือเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี เขื่อนนี้ปัจจุบันความจุอ่าง 14,000 ล้านลบ.ม. เก็บได้ 18,000 ล้านลบ.ม. มีน้ำอยู่ประมาณ 80% ทั้งที่ปล่อยออกไปแล้ว ซึ่งหากฝนตกจำนวนมากจะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม" ดร.รอยล กล่าวทั้งนี้จากเขื่อนขนาดใหญ่ตามความเสี่ยงน้ำท่วม น้ำแล้ง โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ย 4 ปี (ปี 2545 - 2548) พบว่าอีก 28เขื่อนน่าเป็นห่วงเช่นกัน
เขื่อนพวงแก้ความเสี่ยงบริหารน้ำ
นักวิชาการ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากเสนอคือ จะทำอย่างไรให้โครงสร้างบริหารจัดการน้ำสามารถรองรับความเสี่ยง ที่เกิดขึ้นจากภาวะความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงรับสั่งแนวทางไว้ชัดเจนว่า เขื่อนพวง - อ่างพวง คือคำตอบของการบริหารความเสี่ยงประเทศไทย เพราะพระองค์ทรงมองเห็นว่าระบบการจัดการน้ำ สามารถทำได้ โดยใช้ศักยภาพของเขื่อนที่มีอยู่นำมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ได้อย่างไร ดร.รอยล กล่าวว่า โจทย์คือเราจะบริหารความเสี่ยงได้อย่างไร ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศขึ้น ตัวเลขนี้ฟ้องว่าธรรมชาติเปลี่ยน โดยเสนอเปลี่ยนโมเดลการบริหารความเสี่ยงน้ำใหม่โดยการใช้เขื่อนพวงเหมือนกับการบริหารโลจิติกส์ คือสร้งอ่างขนาดเล็กเพื่อเก็บน้ำ เชื่อมต่อกับเขื่อนขนาดใหญ่ ตามสภาพปัญหาของแต่ละเขื่อน เนื่องจากหลังจากนี้ปริมาณฝนที่เปลี่ยนแปลงจากสภาพอากาศ จะส่งผลให้เขื่อนบางเขื่อนมีน้ำมากและบางเขื่อนอาจจะมีน้ำน้อยจนเสี่ยงน้ำแล้ง "ผมยกตัวอย่างเช่นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ฝนตกเยอะแค่เดือนส.ค. - ก.ย.และไหลพรวดลงมา 2 เท่าของความจุอ่าง เพราะไม่มีอะไรไปเก็บ แต่ถ้าจะบริหารความเสี่ยงได้ ขณะที่ความจุของปริมาณอ่าง 722 ล้านและน้ำต้องไหลทิ้ง 1,000 กว่าล้าน แต่ถ้าปีไหนน้ำมากระดับ 3 พันล้านต้องระบายออก 2 เท่าๆกับน้ำท่วมสุพรรณบุรี นครปฐม ดังนั้น วิธีการเก็บน้ำจะต้องหา โกดังเก็บน้ำ หรือหาอ่างพวงมาเก็บน้ำ มันต้องมีระบบ ก็คือจัดหาอ่างและแก้มลิง ที่เปรียบกับโกดังสินค้า แบบจัดกลุ่มแชร์น้ำมากขึ้นเพื่อเฉลี่ยการเก็บน้ำออกไป" ดร.รอยล กล่าวว่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ใช้ระบบเขื่อนพวงตั้งแต่ปี 2549 โดยเขื่อนมีความจุเพียง 1 ใน 3 ของน้ำท่ามีน้ำที่ต้องระบายออกในฤดูฝนมากกว่า 950 ล.ลบ.ม. มากกว่าความจุของเขื่อน ดังนั้นเขื่อนจำเป็นต้องมีระบบเสริมทั้งบริเวณลุ่มเพื่อรับน้ำ และมีพื้นที่ระบายน้ำในช่วงน้ำหลากเดือนก.ย. - ต.ค. จึงใช้ระบบเขื่อนพวงจาก จ.อ่างทางตอนเหนือประมาณ 30 อ่าง เก็บกักน้ำได้ทั้งแล้งและท่วม มากกว่า 300 ล้านลบ.ม.เพื่อช่วยลดความเสี่ยงบริหารจัดการน้ำ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน

ซี่งปรากฏการณ์ทั้งหลายเกิดจากภาวะโลกร้อนขึ้นที่มีมูลเหตุมาจากการปล่อย ก๊าซพิษต่าง ๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงอาทิตย์ส่องทะลุผ่านชั้นบรรยากาศมาสู่พื้นโลกได้มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นที่รู้จักกันโดยเรียกว่า สภาวะเรือนกระจก ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ 6 ชนิด ที่จะต้องลดการปล่อยได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO2) ก๊าซมีเทน ( CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ ( N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน ( HFCS) ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอน ( CFCS) และก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ ( SF6 ) คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นก๊าซที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศโลกมาก ที่สุด ซึ่งประเทศไทยเองก็มีการปล่อยก๊าซชนิดนี้ออกมาในบรรยากาศไม่น้อยหน้าประเทศ อื่น โดยมีที่มาจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง หรือ ก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า !! ??
ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ( co2) มาจากมนุษย์ประเทศไหนมากที่สุด จากตัวเลขที่ได้สำรวจล่าสุดนั้นเรียงตามลำดับประเทศที่ปล่อยควันพิษของโลกมี ปริมาณสะสมมาตั้งแต่ปี 1950 ดังนี้ :-
1. สหรัฐอเมริกา 186,100 ล้านตัน
2. สหภาพยุโรป 127,800 ล้านตัน
3. รัสเซีย 68,400 ล้านตัน
4. จีน 57,600 ล้านตัน
5. ญี่ปุ่น 31,200 ล้านตัน
6. ยูเครน 21,700 ล้านตัน
7. อินเดีย 15,500 ล้านตัน
8. แคนาดา 14,900 ล้านตัน
9. โปแลนด์ 14,400 ล้านตัน
10. คาซัคสถาน 10,100 ล้านตัน
11. แอฟริกาใต้ 8,500 ล้านตัน
12. เม็กซิโก 7,800 ล้านตัน
13. ออสเตรเลีย 7,600 ล้านตัน
รวมถึงการปล่อยสารซีเอฟซีที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่อง ทำความเย็นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็นตู้เย็น เครื่องปรับอากาศทั้งบ้านและรถยนต์
ในต่างประเทศเองส่วนใหญ่เลิกใช้สารซีเอฟซีกันหมดแล้ว แต่ประเทศไทยยังใช้อยู่ในปริมาณร้อยละ 1 ของสารซีเอฟซีที่ใช้ทั่ว โลก ทราบว่าปีหน้าไทยเองจะยกเลิกเช่นกัน สารซีเอฟซีนั้นประมาณร้อยละ 33 ของปริมาณทั้งหมด ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็นเพื่อใช้ในตู้เย็น ตู้แช่เย็น และเครื่องปรับอากาศทั้งในอาคารและในรถยนต์ ร้อยละ 25 ใช้ทำความสะอาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และร้อยละ 42 ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ มองแค่ ตู้เย็นผลิตประมาณปีละ 1.3 ล้านเครื่อง ใช้สารซีเอฟซีประมาณ 260 ตันต่อปี
ยังมีอุตสาหกรรมที่ใช้สารไฮ-โดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน เอชซีเอฟ และไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนหรือ เอชเอฟซี สามารถ ทำลายบรรยากาศชั้นโอโซนได้เช่นกัน เอชซีเอฟ ทำลายโอโซนได้นาน 5 ปี ส่วนซีเอฟซี ทำลายโอโซนได้นานถึง 25 ปี ส่วนเอชเอฟซี ไม่ทำลายชั้นของโอโซนเพียงแต่ปิดกั้นพลังงานความร้อนเท่านั้น ประการต่อมาสารคาร์บอนไดออกไซด์ มีการพบว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณครึ่งหนึ่ง เกิดจากการตัดไม้ ทำลายป่าบนพื้นที่ประมาณ 6 แสนไร่ ตรง นี้น่าจะรับฟังได้ เพราะป่าไม้ของไทยถูกทำลายปีละ 1 ล้านไร่ จนจะหมดอยู่แล้ว ผลที่เกิดก็คือเนื่อง จากต้นไม้จะดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป ตอนมีการสังเคราะห์แสงในเวลากลางวัน และปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในเวลากลางคืน แต่ที่แนวโน้มน่ากลัวกว่าเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มาจากโรงงานอุตสาหกรรมและท่อไอเสียจากรถยนต์ เพราะการพัฒนาประเทศนั้นมีแต่เพิ่มมากขึ้น ในการขับขี่ยานพาหนะ ขณะนี้ประเมินว่ามี 1.88 ล้านคันทั่วประเทศ จะมีก๊าซออกมา 10 กิโลกรัม ต่อเชื้อเพลิง 4 ลิตร หากมีการขับขี่ยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิง 4 ลิตรต่อคัน ก็จะปล่อยคาร์บอนไดออก ไซด์ออกมา 18,800 ตัน สำหรับในการผลิต กระแสไฟฟ้าขนาด 100 วัตต์ เป็นเวลา 10 ชั่วโมง ต้องใช้ถ่านหินหนัก ครึ่งกิโลกรัม ซึ่งจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศ มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า หรือ 1.4 กิโลกรัม อีกทั้งการเผาไหม้ถ่านหิน และเชื้อเพลิงยังปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งเป็นมลพิษทางอากาศและ เป็นหมอกควันที่ป้องกันแสงอาทิตย์ทั้งยังปิดบังเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้บรรยากาศเกิดการเย็นลงได้
ไนตรัสออกไซด์
ไนตรัสออกไซด์จะดูดความร้อน ไว้ได้นับร้อยๆ ปี เพราะโมเลกุลของก๊าซนี้สามารถดูดความร้อนไว้ได้นาน กว่าโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 100 เท่า แต่ไนตรัสออกไซด์ ทำลายโมเลกุลของโอโซนได้น้อยกว่าซีเอฟซีร้อยละ 25 ซึ่งไนตรสออกไซค์พบได้มากที่ปุ๋ยเคมี และถ่านหิน
ก๊าซมีเทน
สาเหตุหลักมาจาก การตัดไม้และการเผาป่า นอกจากนี้การทำนาข้าว การเลี้ยงวัวควาย การถมขยะ การทำเหมืองแร่ และการผลิตถ่านหิน อย่างการปลูกข้าว เกิดก๊าซมีเทน เนื่องจากแบคทีเรียที่อยู่ในดินเป็นตัวปล่อยมีเทน การเลี้ยงวัวควายก่อให้เกิดมี-เทน เนื่องจากแบคทีเรียใน กระเพาะอาหารของสัตว์กินหญ้าประเภทวัว ควาย แพะ แกะ อูฐ จะย่อยอาหารและปล่อยมีเทนออกมาด้วย
มีการศึกษาพบในแต่ละวันวัว 1 ตัว เรอมีเทนออกมาถึง 0.5 ปอนด์ ใน ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาไทยมีวัว ควายประมาณ 11 ล้านตัว แต่ละตัว จะเรอนาทีละหลายครั้ง หากวัวควายเรอเพียงนาทีละครั้ง จะมีปริมาณ ก๊าซมีเทนออกมา 5.5 ล้านปอนด์ มีเทนที่เก็บพลังงานความร้อนเอาไว้ ขณะนี้จะเก็บความร้อนไว้ได้นานกว่า 10 ปี และเก็บความร้อน ไว้นานกว่าโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทนสามารถ เก็บพลังงานความร้อนเอา ไว้ขณะนี้ไปจนถึงระยะเวลานาน 10 ปี และเก็บความร้อนไว้นานกว่าโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 20 เท่า ตัวทำลายโอโซนดังกล่าวนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมาก นอกจากอากาศบนโลกจะร้อนขึ้นและสุขภาพอนามัย โรคภัยไข้เจ็บ จะตามมาอีกมาก การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองเพื่อมีชีวิตรอด ก็ต้องแสวงหากันอีก นอกจากนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพืชและสัตว์ก็มากด้วย ระบบชีวิตของมันต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลง ถึงขั้นสูญพันธุ์ไปเลยก็เป็นได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ผลที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เพราะ ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาจากขั้วโลกกำลังละลายลงมา สู่ทวีปยุโรป และดินแดนที่มนุษย์ อาศัยอยู่ วิเคราะห์กันว่าบริเวณของโลกที่อยู่ในระดับต่ำมากๆ อาจจะ สูญหายไปจากแผนที่โลกเพราะน้ำท่วมหมดสิ้น
หากว่ากันแล้วมนุษย์นี่เองที่เป็นตัวทำลายโอโซน แต่จะบอกว่าใคร ปล่อยมากปล่อยน้อย ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ประเด็นอยู่ที่ทุกคนต้องช่วยกันดูแลบ้านของตัวเองว่า จุดไหนที่ปล่อยสารพิษทำลายโอโซนต้องช่วยกันทำให้ลดลง เพื่อจะได้อยู่ในโลกนี้ได้ยาวนาน
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552
..มาเปรียบเทียบภาพกัน(ว่าโลกร้อนไปถึงไหนแล้ว)..

ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทุกคนจะต้องมาช่วยกันลดภาวะโลกร้อน แม้ว่าการเริ่มต้นวันนี้จะดูสายเกินไป แต่ก็คงจะดีกว่าที่เราไม่คิดจะทำอะไรเลย และยังคงดำเนินกิจกรรมในชีวิตเหมือนทุกๆวันที่ผ่านมา ใช้ไฟ ใช้รถ ใช้น้ำมัน ใช้น้ำเท่าเดิม แถมยังเพิ่มปริมาณขยะจากถุงพลาสติก โฟม และอื่นๆ มากขึ้นด้วย
เห็นบางคนไม่ค่อยสนใจกับสภาวะโลกร้อนเท่าไร บางคนชอบคิดอะไร "ง่ายๆ" เช่น "โอ้ย...น้ำแข็งขั้วโลกละลาย อยู่ตั้งไกลกว่าจะมาถึง รอให้มันละลายมากกว่านี้เถอะ " < แน่ใจเหรอว่าอยากให้มันละลายมากกว่านี้ เพราะไม่รู้สินะว่าที่ผ่านมามันละลายไปมากเท่าไร
..วิธีป้องกันสภาวะโลกร้อน..
1. ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ เครื่องปรับอากาศ พัดล
ลม หากเป็นไปได้ ใช้วิธี เปิดหน้าต่าง ซึ่งบางช่วงที่อากาศดีๆ สามารถทำได้ เช่นหลัง
ฝนตก หรือช่วงอากาศเย็น เป็นการลดค่าไฟ และ ลดความร้อน เนื่องจากหลักการ
ทำความเย็นนั้นคือ การถ่ายเทความร้อนออก ดังนั้นเวลาเราใช้แอร์ จะเกิดปริมาณความ
ร้อนบริเวณหลังเครื่องระบายความร้อน
2. เลือกใช้ระบบขนส่งมวลชน ในกรณีที่สามารถทำได้ ได้แก่ รถไฟฟ้า รถตู้ รถเมลล์
เนื่องจากพาหนะ แต่ละคัน จะเกิดการเผาผลาญเชื้อเพลิง ซึ่งจะเกิดความร้อน และ ก็ซ
คาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นเมื่อลดปริมาณจำนวนรถ ก็จะลดจำนวนการเผาไหม้บนท้อง
ถนน ในแต่ละวันลงได้
3. เวลาเดินเข้าห้างสรรพสินค้า หากมีใครเปิดประตูทิ้งไว้ ให้ช่วยปิดด้วยเนื่องจาก
ห้างสรรพสินค้าแต่ละห้างนั้น มีพื้นที่มาก กว่าจะทำให้เกิดความเย็นได้ ก็จะก่อให้เกิด
เกิดความร้อนปริมาณมาก ดังนั้นเมื่อมีคนเปิดประตูทิ้งไว้ แอร์ก็จะยิ่งทำงานมากขึ้น
เพื่อให้ได้ความเย็นตามที่ระบุไว้ในเครื่อง ซึ่งประตูที่เปิดอยู่จะนำความร้อนมาสู่ตัวห้าง
เครื่องก็จะทำงานวนอยู่อย่างนั้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดความร้อนอีกปริมาณมากต่อสภาพ
ภายนอก
4. พยายามรับประทานอาหารให้หมด เศษอาหารที่เหลือทิ้งไว้จะก่อให้เกิดก๊าซมีเทน
ซึ่งก่อให้เกิดปริมาณความร้อนต่อโลก เมื่อหลายคนรวมๆกันก็เป็นปริมาณความร้อนที่มาก
5. ช่วยกันปลูกต้นไม้ เพราะต้นไม้จะคายความชุ่มชื้นให้กับโลก และ ช่วยดูดก๊าซคาร์
บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุภาวะเรีอนกระจก
6. การชวนกันออกไปเที่ยวธรรมชาติภายนอก ก็ช่วยลดการใช้ปริมาณไฟฟ้าได้
7. เวลาซื้อของพยายามไม่รับภาชนะที่เป็นโฟม หรือกรณีที่เป็นพลาสติก เช่นขวดน้ำ
พยายามนำกลับมาใช้อีก เนื่องจากพลาสติกเหล่านี้ทำการย่อยสลายยาก ต้องใช้ปริมาณ
ความร้อน เหมือนกับตอนที่ผลิตมันมา ซึ่งจะก่อให้เกิดความร้อนกับโลกของเรา
เราสามารถนำกลับมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำแทนกระติกน้ำได้ หรือใช้ปลูกต้นไม้ก็ได้
8. ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง เนื่องจากสัตว์เหล่านี้ อุจจาระจะปล่อยก๊าซมีเทนอ
ออกมา ดังนี้นอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ประเภทนี้ เมื่อมีจำนวนมากก็จะก่อให้เกิดความร้อน
กับโลกเรามาก
9. ใช้กระดาษด้วยความประหยัด กระดาษแต่ละแผ่น ทำมาจากการตัดต้นไม้ ซึ่งเป็น
เสมือนปราการสำคัญของโลกเรา ดังน้นการใช้กระดาษแต่ละแผ่นควรใช้ให้ประหยัด
ทั้งด้านหน้าหลัง ใช้เสร็จควรนำมาเป็นวัสดุรอง หรือ นำมาเช็ดกระจกก็ได้ นอกจากนี้
การนำกระดาษไปเผาก็จะเกิดความร้อนต่อโลกเราเช่นกัน
10. ไม่สนับสนุนกิจการใดๆ ที่สิ้นเปลืองทรัพยากรของโลกเรา และควรสนับสนุนกิจการ
ที่มีการคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม
สรุปว่า - กิจกรรมจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นั้น จะส่งผลให้เกิดความร้อนต่อโลกเรา
- เครื่องปรับอากาศ เช่นเดียวกัน สร้างให้เกิดความร้อนต่อโลก เนื่อง เป็นการระบายความร้อนจากบริเวณที่เราต้องการให้เย็นสู่-ภายนอก ก็คือ สิ่งแวดล้อมนั่นเองยิ่งปริมาณพื้นที่มาก ปริมาณความร้อนที่เกิดจากการปรับอากาศยิ่งสูง
- ปริมาณ พลาสติก ที่ผลิตกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตาม
ธรรมชาติ ต้องใช้ความร้อนเผาไหม้ในการทำลาย ซึ่งนอกจากใช้ความร้อนจำนวนมากแล้ว ยังเกิดสารเคมีลอยขึ้นไปปกคลุมโลกของเรา กลายเป็นลักษณะของกระจก
- ยานพาหนะ ที่ใช้น้ำมันในปัจจุบัน นอกจากความร้อนระหว่างการเผาไหม้
แล้วยังเกิด ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเรือนกระจก ดังนั้น การใช้
การเดินทางโดยระบบขนส่งมวลชน ไปกันหลายๆคน ต่อครั้ง ก็จะลดปริมาณการเผา
ไหม้
- และ กิจกรรมอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาที่ทำให้เกิดความร้อน และ สารเคมี ย่อมส่งผลต่อภาวะโลกร้อน
..โลกร้อน..
สภาวะโลกร้อนเรายังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสภาวะโลกร้อนมีสาเหตุมาจากกระบวนการทางธรรมชาติหรือมีสาเหตุมาจากการกระทำของมนุษย์ภูมิอากาศของโลกมีการเพิ่มขึ้นของความร้อน 1 F (0.5 C) ในรอบ 100 ปีที่ผ่านมาซึ่งก็ตรงกีบการคำนวณจาก แบบจำลองภูมิอากาศของโลก (GCMs) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการเพิ่มขึ้นของก๊าซ CO2 ในบรรยากาศ ดังนั้นจึงสามารถยืนยันได้มากยิ่งขึ้นว่าการกระทำของมนุษย์ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของสภาวะโลกร้อนในครั้งนี้ถึงแม้ว่า GCMs จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ทำให้เราสามารถทำนายการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศได้ แต่ตัวมันเองก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ดี การเปลี่ยนแปลงระยะยาวในมหาสมุทรและผลกระทบของพวกมันต่อรูปแบบของอากาศบนโลกยากต่อการทำนาย พวกเราไม่แน่ใจว่าเป็นผลกระทบจากการกระทำของมนุษย์เพียงอย่างเดียวหรือไม่ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า ยิ่งไปกว่านั้นแล้วยังมีคำถามออกมาว่ากระแสสภาวะโลกร้อนอาจจะเป็นผลเนื่องมาจากการผันแปรของตามธรรมชาติของภูมิอากาศเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนในความรู้ในปัจจุบันสิ่งที่ท้าทายที่สุด ในการสร้างสรรค์ GCMs คือการประเมินค่าของผลกระทบของเมฆได้อย่างแม่นยำ เมฆสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์ซึ่งผลก็คือทำให้โลกเย็นลง แต่พวกมันก็ดูดซับความร้อนด้วยเช่นกัน นี่ก็เป็นผลกระทบที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน พวกเราเชื่อว่าเมฆสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์กลับไปมากกว่าที่มันดูดซับเอาไว้ จึงทำให้สมดุล ซึ่งผลก็คือโลกก็ยังเย็นลงอยู่ดีการคำนวณของเราถูกทำให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นโดยการแผ่รังสีของ SO2 จากสถานีผลิตพลังงานกระแสไฟฟ้า อนุภาค Sulfate ในอากาศเพิ่มโอกาสในการเกิดเมฆ และการเพิ่มขึ้นของก้อนเมฆส่งผลให้จะช่วยลดพลังงานแสงอาทิตย์ที่จะส่งลงมาที่โลกอีกด้วย สิ่งที่กล่าวในที่นี้เกี่ยวกับการคำนวณ และทำนายการร้อนขึ้นของซีกโลกเหนือผิดพลาดน้อยลงอย่างไรก็ตาม ในปี 1994 บรรดานักวิทยาศาสตร์ก็ได้ตระหนักว่าเมฆอาจจะดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากขึ้น 4 เท่า ของที่เคยดูดซับไว้ได้ นี่คือตัวที่ทำให้ผลกระทบของการร้อนมีมากขึ้น แต่สภาวะโลกร้อนไม่ได้ถูกรวมเข้าไปในการพยากรณ์ในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่ามีงานวิจัยอีกมากที่จำเป็นต้องทำเกี่ยวกับการศึกษาคุณสมบัติของเมฆในอนาคต GCMs สามารถจัดการกับมันได้อย่างเพียงพอความผันแปรของธรรมชาติ10,000 ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ภูมิอากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ยังอยู่ในยุคน้ำแข็ง และผลที่ตามมาของมันหรือไม่ หรือว่ามันคือพฤติกรรมปกติของภูมิอากาศ และเสถียรภาพของ 10,000 ปีที่ผ่านมาถูกทำให้ผิดไปจากปกติหรือไม่อุณหภูมิของอากาศ คือ ปัจจัยเพียงอย่างเดียวในความซับซ้อนอีรุงตุงนังของภูมิอากาศ การแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็วของทะเลทรายบนโลกในปี 1970s และความแห้งแล้งเป็นเวลานานใน Sahel มีจุดเริ่มต้นมาจากส่วนหนึ่งของสภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ก็ถูกเชื่อมโยงเข้ากับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบฝนตก ซึ่งมันคือผลกระทบของ ปรากฏการณ์เอลนีโญ ในปัจจุบัน ความแห้งแล้งและการขยายออกของทะเลทราย อาจทำให้อุณหภูมิผิวหน้าน้ำทะเลในเขตร้อนเพิ่มขึ้นมากกว่าการร้อนขึ้นของบรรยากาศ ความร้อนที่เพิ่มขึ้นในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากความผันแปรตามธรรมชาติหรือไม่ก็รูปแบบของอากาศ พฤติกรรมของพลังงานแสงอาทิตย์เป็นตัวควบคุมการตอบสนองของสภาวะร้อน เพราะการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิของโลกเกิดควบคู่กับ 11 ปีของวงจรของจุดดับบนดวงอาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงในพลังงานดวงอาทิตย์มันไกลและดูเล็กน้อยมากที่จะใช้ในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิการป้องกันสภาวะโลกร้อนความสงสัยเกี่ยวกับขนาดของสภาวะโลกร้อนในอนาคตไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลก็ควรที่จะพัฒนานโยบายและตั้งเป้าหมายในการถ่วงดุลการสร้าง ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) การแก้ปัญหานี้ถูกสะท้อนกลับมาในการตัดสินใจของการประชุมที่ เมือง Rio ในปี 1992 ถึงการทำให้การแผ่ขยายของก๊าซเรือนกระจกคงที่ ในปี 1999 – 2000 การประชุมเกี่ยวกับภูมิอากาศโลกในปี 1995 ที่กรุง Berlin เห็นด้วยกับการไปสู่เป้าหมายของการลดการขยายของก๊าซเหล่านี้ เป้าหมายของถ้อยแถลงนี้นำไปสู่การใช้งานทั้งสิ่งที่พัฒนาไปแล้วและสิ่งที่กำลังจะทำการพัฒนาต่อไป การกระทำที่น่าสนใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน, โรงผลิตกระแสไฟฟ้าและยานพาหนะที่ก่อให้เกิดมลพิษต่ำ, การพัฒนากระบวนการอุตสาหกรรม และการขนส่งสาธารณะ, การนำแหล่งพลังงานกลับมาใช้ใหม่ให้ดีขึ้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้คือการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมเราจึงต้องการนโยบายที่ใช้แก้ปัญหาทั้งส่วนของรัฐบาลและเอกชน
..แนะนำตัวเบื้องต้นคับผม..

เกิด วันอาทิตย์ ที่ 25 มิถุนายน 2532
อายุ 19 ปี กรุ๊ปเลือด เอ (A)
สีที่ชอบ นำเงิน ดำ
สีที่ไม่ชอบ แดง ชมพู เหลือง เขียว (มันเปี้ยวเกินไป)
อาหาร ทุกอย่างทานได้หมด
วงดนตรีที่ชอบ โปเตโต้ POTATO และ LINGKINPARK(lp)
ที่อยู่ปัจจุบัน 132/6 ต.หนองแคน อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
รหัสไปรษณีย์ 4904149
จบชั้นประถมศึกษาจาก โรงเรียนนาแกผดุงราชกิจเจริญ อำเภอ นาแก จังหวัด นครพนม
จบชั้นมัธยมศึกษาจาก โรงเรียนนาแกสามัคคีวิทยา อ.นาแก จ.นครพนม
ภัยพิบัติชายฝั่งทะเลอันดามัน
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 8 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้กรมขนส่งทางน้ำไปพิจารณาว่าเพราะเหตุใดจึงปล่อยให้เรือรุ่งโรจน์ บรรทุกผู้โดยสารจำนวนมาก จนเกิดเหตุเรือโดยสารล่มที่ จ.ภูเก็ต เป็นที่น่าสังเกตว่าเรือดังกล่าวบรรทุกผู้โดยสารได้เพียง 22 คน แต่มีผู้โดยสารถึง 75 คน เนื่องจากวันเกิดเหตุมีมวยนัดพิเศษประจำสัปดาห์บนเกาะยาว ทำให้มีผู้โดยสารมากกว่าปกติ และเมื่อออกจากท่าเรือประมาณ 30 นาทีก็เกิดพายุ และเมื่อเกิดเหตุผู้โดยสารแย่งกันสวมเสื้อชูชีพ ทำให้เรือโคลงเคลงและเกิดเหตุขึ้น
นายจักรภพกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังมีการสรุปยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิจนถึงวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมามีจำนวน 5,395 ศพ และมีศพที่ญาติยืนยันได้แล้ว 1,870 ศพ เป็นคนไทย 1,471 ศพ คนต่างประเทศ 399 ศพ ญาติรับศพไปแล้ว ซึ่งเป็นคนไทย 1,446 ศพ คนต่างชาติ 343 ศพ ศพที่ยังยืนยันไม่ได้ 2,863 ศพ และยังมีศพที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศ 1,593 ศพ นอกจากนั้นยังมีการเคลื่อนย้ายศพจากวัดบางม่วงและวัดลาดยาวไปยังสุสานไม้ขาวแล้ว 2,091 ศพ ส่วนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วเป็นเงิน 299 ล้านบาท และได้ให้เงินช่วยเหลือชาวประมงและผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแล้ว 248 ล้านบาท รวมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนจากเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี นำเงินไปให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยแล้ว 4,238 ราย คิดเป็นเงิน 83 ล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมรับทราบการประกาศกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่ได้ประสบธรณีพิบัติภัย โดยได้ประกาศให้จังหวัดระนอง พังงา กระบี่ ภูเก็ต ตรัง และสตูล ให้เป็นพื้นที่ที่มีมาตรการการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ เป็นเวลา 1 ปี รวมทั้งกำหนดมาตรการฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และระหว่างนี้จะห้ามการกระทำทุกอย่างที่ทำลายสิ่งแวดล้อม จึงถือว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่พิเศษ ในการฟื้นฟูพื้นที่จากภัยสึนามิ
วันเดียวกัน องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จัดสัมมนาเรื่อง "การฟื้นฟูความช่วยเหลือผู้หญิงหลังภัยพิบัติสึนามิ" เนื่องในวันสตรีสากล โดยนางโจแอนนา เมอร์ลิน-โชลเทส ผู้ประสานงานและผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (ยูเอ็นดีพี) กล่าวว่า ความเสียหายจากภัยสึนามิจำนวนครึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่เสียชีวิต สูญเสียสามีและมีลูกต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวโดยลำพัง รวมทั้งผู้หญิงที่สูญเสียวิถีการดำเนินชีวิต อาชีพและที่อยู่อาศัย จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้หญิงเป็นพิเศษ
"ยูเอ็นและยูเอ็นดีพีได้เข้าไปช่วยเหลือประเทศไทยหลายโครงการ จัดสรรงบ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงไปในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิ ครอบคลุมหลายด้านโดยเฉพาะด้านฟื้นฟูการดำเนินชีวิต สร้างอาชีพ ด้านการเกษตร สิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงอนุรักษ์ และอีกหลายโครงการที่มุ่งให้มีส่วนร่วมของชุมชน และให้ความสำคัญกับกลุ่มของผู้หญิงเป็นหลักให้ได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษ" นางโจแอนนากล่าว
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเคยระบุจะฟ้องประเทศไทยที่ปกปิดข้อมูลไม่แจ้งเหตุแผ่นดินไหวว่า เรื่องนี้ได้เตรียมตัวไว้นานและดูมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว รวมทั้งได้รายงานนายกฯ ไปหมดแล้วถึงท่าทีต่างๆ ตนไม่อยากให้สัมภาษณ์เพราะต้องดูคำฟ้องให้ชัด ถ้าเราบอกไปว่าเราเตรียมการอย่างไรแต่คำฟ้องที่เขายื่นมาไม่ชัดหรืออาจไปยื่นเพิ่มจะเสียรูปคดีได้ ทั้งนี้ได้มีการพูดคุยกับหน่วยงานภายในกระทรวงแล้ว เช่น กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องและได้หารือกับที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศด้วย เราพยายามเปิดไปมากว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่ขอให้รอดูผู้ที่จะฟ้องให้ชัดเจนก่อน
เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ร่วมกับบริษัทซีเอ็ด ยูเคชั่น ชมรมผู้สื่อข่าวสิ่งแวดล้อม มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ มูลนิธิสดศรี สฤษดิ์วงค์ มูลนิธิโลกสีเขียว มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร มูลนิธิสานแสงอรุณ และมูลนิธิบูรณะชนบทแห่งชาติ แถลงเปิดหนังสือคู่มือ "ระวัง..สึนามิ" ซึ่งเป็นหนังสือการ์ตูนมีเนื้อหาให้ความรู้เกี่ยวกับการเกิดคลื่นสึนามิ และการเตรียมตัวรับมือหากเกิดแผ่นดินไหว เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจถึงภัยธรรมชาติดังกล่าวอย่างแท้จริง
นายแก้วสรร อติโพธิ ประธานคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการร่วมกับกลุ่มสื่อสร้างไทยจัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อมอบให้กับมูลนิธิทั้ง 6 แห่งและชมรมผู้สื่อข่าวสิ่งแวดล้อมไปพัฒนาเป็นโครงการพัฒนาความรู้ระบบเตือนภัยสึนามิให้แก่ชุมชนต่างๆ ในฝั่งทะเลอันดามัน โดยจะจัดจำหน่ายในราคาเล่มละ 60 บาท เพื่อนำรายได้ทั้งหมดไปจัดพิมพ์สื่อการเรียนการสอน "ระวัง…สึนามิ" มอบให้แก่เครือข่ายการศึกษาทั้งในและนอกโรงเรียนใน 6 จังหวัดภาคใต้ต่อไป โดยเนื้อหาในหนังสือจะให้ความรู้ผ่านการ์ตูนประกอบคำบรรยาย ให้เด็กและผู้ใหญ่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย และเชื่อถือในระบบเตือนภัยที่รัฐบาลและนานาประเทศกำลังเร่งมือพัฒนาขึ้นมาในอนาคต
"แม้วิบัติภัยจากคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดียจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความเสี่ยงภัยจากปรากฏการณ์ธรมชาติได้เข้ามาอยู่คู่กับชีวิตของเราอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นจะทำอย่างไรให้ประชาชนตามชายฝั่งจะไม่ต้องวิ่งหนีกันทุกครั้งที่ได้ข่าวแผ่นดินไหว แต่จะรู้ได้ชัดว่าจะเกิดสึนามิหรือไม่ ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จะให้คำตอบและเป็นหลักประกันของทุกชีวิตได้ ถือเป็นสื่อที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้และความสำเร็จของระบบเตือนภัยสึนามิ" นายแก้วสรรกล่าว
สึนามิไทย 2547
สึนามิ (การออกเสียงในภาษาญี่ปุ่นคือ /tsunami/ สึนะมิ[ต้องการแหล่งอ้างอิง] ซึ่งต่างกันเล็กน้อยกับการออกเสียงในภาษาอังกฤษว่า /suːnɑːmi (ː)/ ซูนามิ หรือ /tsuːnɑːmi (ː)/ (ทซู) นามิ[ต้องการแหล่งอ้างอิง] (ท ควบ ซ ในเสียงญี่ปุ่น) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ในลักษณะของระลอกคลื่น ที่เกิดขึ้นจากการที่น้ำในทะเลสาบหรือในท้องมหาสมุทรจำนวนมหาศาล เกิดการเคลื่อนย้ายถ่ายเทจากบริเวณหนึ่งสู่อีกบริเวณหนึ่งอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากการเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินเคลื่อนตัว ภูเขาไฟระเบิด หรือจากวัตถุนอกโลก เช่น ดาวหาง หรืออุกกาบาต ตกสู่พื้นทะเลหรือมหาสมุทรบนผิวโลก คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นนี้จะถาโถมเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้วยความรวดเร็วและรุนแรง สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่อาศัยที่พังพินาศไป พร้อม ๆ กับมนุษย์จำนวนมากมายที่อาจได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปด้วยฤทธิ์ของมหาพิบัติภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน[ต้องการแหล่งอ้างอิง]
คำว่า "สึนามิ" มาจากภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า "ท่าเรือ" (津 สึ) และ "คลื่น" (波/浪 นะมิ) [ต้องการแหล่งอ้างอิง] ศัพท์คำนี้บัญญัติขึ้นโดยชาวประมงญี่ปุ่น ผู้ซึ่งแล่นเรือกลับเข้าฝั่งมายังท่าเรือ และพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรายล้อมอยู่รอบท่าเรือนั้นถูกทำลายพังพินาศไปจนหมดสิ้น โดยในระหว่างที่เขาลอยเรืออยู่กลางทะเลกว้างนั้นไม่ได้รู้สึกหรือสังเกตพบความผิดปกติของคลื่นดังกล่าวเลย ทั้งนี้เนื่องจากคลื่นสึนามิไม่ใช่ปรากฏการณ์ระดับผิวน้ำในเขตน้ำลึก เพราะคลื่นที่เกิดขึ้นจะมีขนาดของคลื่น (แอมพลิจูด) ขนาดเล็กมากเมื่ออยู่ในพื้นน้ำนอกชายฝั่ง ในขณะเดียวกันก็มีความยาวคลื่น ที่ยาวมาก (ปกติจะมีความยาวหลายร้อยกิโลเมตร) ทำให้คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นไม่สามารถสังเกตเห็นได้ขณะที่ลอยเรืออยู่บนผิวน้ำกลางทะเลลึก เนื่องจากคลื่นที่เกิดขึ้นจะเห็นเป็นเพียงแค่เนินต่ำ ๆ ตะคุ่ม ๆ อยู่ใต้น้ำเท่านั้น[ต้องการแหล่งอ้างอิง]
คลื่นสึนามินี้ ในทางประวัติศาสตร์มีการอ้างอิงถึงว่าเป็น คลื่นใต้น้ำ (tidal waves) เนื่องจากเมื่อคลื่นดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้าใกล้ชายฝั่ง จะยิ่งมีลักษณะเหมือนการไหลท่วมของกระแสน้ำขึ้นที่ถาโถมเข้าสู่ฝั่งอย่างรุนแรง มากกว่าที่จะมีลักษณะเหมือนกับเกลียวคลื่นที่เกิดจากการพัดกระหน่ำของสายลมจากกลางมหาสมุทรเข้าสู่ฝั่ง เนื่องจากโดยแท้จริงแล้วคลื่นสึนามิไม่ได้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใด ๆ เลยกับน้ำขึ้นน้ำลง จึงมีการมองว่า คำว่า "tidal waves" นั้น อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดถึงสาเหตุของการเกิดคลื่นดังกล่าวได้[ต้องการแหล่งอ้างอิง] นักสมุทรศาสตร์จึงไม่แนะนำให้เรียกคลื่นสึนามิว่า "tidal waves" แต่แนะนำให้เรียกเป็นชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า "Seismic Sea Wave" ซึ่งมีความหมายตรงๆ ในภาษาไทยว่า คลื่นทะเลที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือน[ต้องการแหล่งอ้างอิง] ทั้งนี้ ในเว็บไซต์และหนังสือบางเล่ม กล่าวถึงชื่อเรียกของคลื่นชนิดนี้ในภาษาอังกฤษผิด คือ "Harbor Wave" ซึ่งเป็นชื่อที่แปลอย่างตรงตัวจากภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ได้ให้ความหมายใดๆ ในภาษาอังกฤษ[ต้องการแหล่งอ้างอิง]
ทั้งนี้ ในพจนานุกรม Oxford Learner's Dictionary ได้ให้ความหมายของคำว่า Tidal Wave ไว้ว่าเป็นคลื่นทะเลที่ส่วนใหญ่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้สมุทร
วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552
- url ของเพื่อนทั้ง 20 คน(blog)
กิ๊ก เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://kikkyjung.blogspot.com/
คิน เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://satolokin.blogspot.com/
เบส เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://sarawut007-kookkiknaja.blogspot.com/
แต้ว เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://taew121132.blogspot.com/
มะตูม เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://toom33.blogspot.com/
แดน เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://nudoza.blogspot.com/
บุ๋ม เศรษฐศาสตร์ธุรกิจ http://becon51.blogspot.com/
กิ้ม บัญชี http://kidsuna_kidsuna.blogspot.com/
กำไล บัญชี http://kumlai.blogspot.com/
ออย http://aommiza.blogspot.com/
ตุ้ม http://toommin.blogspot.com/
อ๋อย http://oil-alale.blogspot.com/
น้ำฝน http://namfongi5.blogspot.com/
พลอย http://ployniiz.blogspot.com/
เอ๋ย http://ehaiza.blogspot.com/
ปิ๊ก http://pukerza.com/
อัญชลิกา http://yurisang.blogspot.com/
กรรณิการ์ http://kanikapudda.blogspot.com/
กุ้ง http://kungii.blogspot.com/